เครื่องป้องกันชาวพุทธ

Moderator: ดอยเวียงเกี๋ยงวนา

เครื่องป้องกันชาวพุทธ

โพสต์โดย ธีระบุตร » เสาร์ 02 ก.ค. 2011 5:24 pm

เครื่องป้องกันสำหรับชาวพุทธ
พุทธศาสนาที่ชาวพุทธทั้งหลายนับถือ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นเครื่องป้องกัน คุ้มครองรักษาชาวพุทธอยู่แล้ว แต่ชาวพุทธไม่ได้พึ่งพาพระรัตนตรัยให้ถูกต้อง พระรัตนตรัยจึงไม่มีผลทางการรักษาคุ้มครองผู้นั้น เมื่อพระรัตนตรัยไม่มีผลเพื่อคุ้มครองรักษา ชาวพุทธจึงหันไปให้ความสนใจ “วัตถุปลุกเสก” มากขึ้น วัตถุปลุกเสกเหล่านี้ มักถูกเรียกว่า “ของขลัง” สิ่งเหล่านี้ ถูกปลูกฝังในจิตใจของชาวพุทธมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงทำให้ชาวพุทธลืมความเป็นพระรัตนตรัย ที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์พึ่งพา
เมื่อจิตใจของชาวพุทธห่างเหินจากพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง “ที่พึ่งอันดี” จึงไม่เกิดขึ้นในจิตในใจของชาวพุทธที่หวังพึ่งสิ่งดีๆ ในศาสนา จิตใจของชาวพุทธจึงขึ้นตรงต่อวัตถุปลุกเสกมากขึ้น เพราะวัตถุปลุกเสกกลายเป็นสิ่งดีๆ ที่ชาวพุทธหวังพึ่ง ของขลังจึงถูกเรียกว่า “ของดี” หลายคนมักจะถามหาของดีกับพระภิกษุที่ทรงเวททรงอาคม ได้ยินว่าที่ไหนดีก็จะแสวงหามาไว้ครอบครองเป็นของตน เพราะถือว่าเป็นของ “มงคล” ผู้คนให้ความสนใจวัตถุมงคลกันมากขึ้น จนลืมว่าพระรัตนตรัยคือที่พึ่งอันประเสริฐของชาวพุทธอย่างแท้จริง ถึงกับเชื่อสนิทใจว่าวัตถุมงคลนี้แหละจะช่วยให้พ้นทุกข์ได้.
ความนิยมในวัตถุมงคลมีมากขึ้น พระผู้ทรงเวททรงอาคมก็มีมากขึ้น จนทำให้ “พระภิกษุ” ลืมตัวว่า “หน้าที่ของพระที่แท้จริงคืออะไร?” พยายามสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาปลุกเสกให้ “ขลัง” ที่สุดเท่าที่จะขลังได้ เพื่อความโด่งดังและเพื่อทดสอบประสิทธิภาพมนต์ขลังของตน นี่หรือคือหน้าที่ของพระ? พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัย ถึงแม้สิ่งที่ท่านยื่นให้จะดีจริงก็ตาม แต่ถ้า “ไม่ดัง” ก็ดูเหมือนไร้ค่า ไร้ราคา กลายเป็นเศษดิน เศษเหล็ก หรือเศษไม้ ยิ่งถ้ายึดถือวัตถุที่ปลุกเสกด้วยเวทมนต์คาถาว่า “ยิ่งดัง ยิ่งขลัง” มากเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากพระรัตนตรัยมากเท่านั้น ชาวพุทธก็จะเป็นชาวพุทธที่ “ไร้ที่พึ่ง” คำว่าไร้ที่พึ่งนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีที่พึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะพึ่งอันไหนดี เพราะ “ของดี” ที่เสาะแสวงหาสะสมมาไว้หลายๆ ปี มีมากจนไม่รู้ว่าจะพึ่งอันไหน มีแต่อันที่ดีๆ ตัดสินใจพึ่งอันใดอันหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายแล้วพึ่งไม่ได้สักอัน เพราะมัวหาของดีอยู่ จึงไม่เจอของดี จึงตายเปล่า!
ชาวพุทธมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของดีอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องปลุกเสกก็มีอานุภาพมากมายกว่าวัตถุปลุกเสกทั้งหลาย ที่เต็มเกลื่อนอยู่ในขณะนี้ เครื่องป้องกันของชาวพุทธ เป็นเครื่องป้องกันที่พระพุทธเจ้ามอบไว้ให้พึ่ง เมื่อเจอเหตุร้ายในชีวิตก็ให้ระลึกถึงอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ แล้วดำเนินตามวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงบอกให้แก้ไข จึงจะไม่เป็นโทษ ชาวพุทธโดยทั่วไปเมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ อันเป็นความชั่วร้ายมักจะแก้ไขเหตุร้ายนั้นด้วยการรดน้ำมนต์แล้วแสวงหา “ของดี” เอามาไว้ป้องกันตนเอง โดยหารู้ไม่ว่าของดีเหล่านั้นนอกจากจะช่วยป้องกันไม่ได้แล้ว ยังเป็นสื่อนำความชั่วร้ายเข้ามาสู่ร่างกายคนอีกด้วย เช่น ถ้าผู้ใดห้อยวัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสกมา ไม่ว่าจะเป็น รูป เหรียญ แผ่นยันต์ ผ้ายันต์ ตะกรุด ของขลัง รวมถึงพระพุทธรูป ในวัตถุปลุกเสกเหล่านั้นจะมีผีที่ทรงเวท ทรงอาคมสิงสถิตอยู่ เรียกว่า “ผีอาคม” เมื่อถึงคราวที่อานุภาพการปลุกเสกนั้นเสื่อมลง ผีที่ทรงเวท ทรงอาคมก็จะออกจากวัตถุมงคลนั้น แล้วทำการ “เข้าสิง” ในร่างของผู้ที่ห้อยวัตถุมงคลนั้น หรือที่เรียกว่า “ของเข้าตัว” นั่นแหละ ทำให้ผู้นั้นเกิดอาการปวดมึนที่ศีรษะ หรืออาจเจ็บปวดตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจจะแสดงอาการของผีอาคมออกมา แล้วคนผู้นั้นก็แสวงหา “เครื่องราง” อื่นอีกมาแก้ไข ผีอาคมก็จะมีเพิ่มขึ้น เมื่ออาคมเสื่อม เหล่าผีที่สถิตอยู่กับวัตถุปลุกเสกก็จะรวมตัวกันเข้าสิงคนผู้นั้นอยู่เรื่อยๆ คนที่ถูกสิงมากๆ ก็จะเกิดอาการควบคุมตนเองไม่ได้ เจ็บปวดตามร่างกายมากยิ่งขึ้น หรืออาจถึงกับคุ้มคลั่งเป็นบางครั้ง และยังมีอาการอื่นๆ อีกมากมาย
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆังสะระณัง คัจฉามิ” เป็นความหมายที่มีความสำคัญมาก พระองค์ต้องการบอกอะไรแก่ชาวพุทธ จึงให้ระลึกถึงคำนี้อยู่เสมอ? แต่ชาวพุทธก็พูดกันไปตามลมปากเท่านั้น ไม่ได้สนใจความหมายอันลึกซึ้งไปกว่านั้น อำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ จึงไม่มีอานุภาพปกป้องคุ้มครองชาวพุทธอย่างแท้จริง
จุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้ชาวพุทธทราบ ในคำที่ตรัสนั้นก็คือ “การระลึกถึง” จิตใจของเราระลึกถึงอะไรเป็นที่พึ่ง? ถ้าระลึกถึง “วัตถุมงคล” พระรัตนตรัยก็ขาดจากจิตใจของผู้นั้น ไม่มีอำนาจในการคุ้มครอง แต่ถ้าผู้ใดระลึกถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ อำนาจของพระรัตนตรัยก็จะเกิดอานุภาพคุ้มครองผู้นั้น แต่ไม่ใช่เป็นการระลึกเพียงครั้งเดียว ต้องระลึกถึงอยู่เสมอ การระลึกถึงอยู่เสมอ ไม่ใช่ถือเอาการสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูปเช้า - เย็น ว่าได้ระลึกถึงพระรัตนตรัยแล้ว แต่ต้องเป็นการระลึกถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ ด้วยความรู้ความเข้าใจ
พุทธ - ไม่ใช่ตัวตนรูปร่างของพระพุทธเจ้า แต่เป็น “ความรู้” ของพระองค์
ธรรม - ไม่ใช่บทสวดมนต์หรือหนังสือธรรมะ แต่เป็น “สัจธรรม” ที่พระองค์ทรงแสดงไว้
สงฆ์ - ไม่ใช่นักบวช แต่เป็น “ความบริสุทธิ์” แห่งจิตที่ละกิเลสได้
ความรู้ของพระพุทธเจ้าชื่อว่า พุทธ, พระพุทธเจ้านำความรู้มาสั่งสอนชื่อว่า ธรรม, ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งจิตชื่อว่า สงฆ์.
อำนาจ พุทธธรรม สงฆ์ เป็นอำนาจอันบริสุทธิ์ทางธรรมชาติที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวชื่อว่า “รัตนตรัย” พระรัตนตรัยจะมีอำนาจก็ต่อเมื่อมีผู้ระลึกถึง ถ้าผู้ใดระลึกถึงอำนาจพระรัตนตรัยอย่างถูกต้อง สัญญาณการระลึกแห่งจิตของผู้นั้น จะเชื่อมโยงกับอำนาจของพระรัตนตรัยในหลักธรรมชาติที่มีเองอยู่แล้ว พระรัตนตรัยก็จะมีอานุภาพคุ้มครองจิตใจผู้นั้น
คำว่า พุทธัง หมายถึง “ความรู้” สะระณัง หมายถึง “การระลึก”คัจฉามิ หมายถึง “การเข้าถึง” รวมแล้ว มีความหมายเต็มประโยคว่า “ข้าพเจ้าขอเข้าถึงความรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยการระลึก” พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยด้วยการ “ระลึกถึง” แต่ต้องระลึกถึงอยู่บ่อยๆ อำนาจของการระลึกถึงนี้ จึงจะเกิดอานุภาพขึ้นในใจของผู้นั้น
อำนาจพระรัตนตรัยเป็นอำนาจอันบริสุทธิ์ทางธรรมชาติ ผู้ใดอยากจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ผู้นั้นต้องใช้ “การระลึก” อย่างถูกต้อง จึงจะเข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ พูดง่ายๆ ว่าพระพุทธเจ้าต้องการให้เราพึ่ง “การระลึก” ของเราเองนี่แหละ
การระลึกถึง “ความรู้” ของพระพุทธเจ้า ระลึกถึง “สัจธรรม” ของพระองค์ ระลึกถึง “ความบริสุทธิ์” ของพระอริยสงฆ์ จึงไม่ต้องแสวงหาวัตถุมงคลที่ไหนมาไว้ป้องกันอีก บุคคลผู้นั้นก็จะมีเครื่องคุ้มครองอย่างดี หรือพูดให้ง่ายขึ้นอีกว่า เมื่อมีเหตุร้ายอันใดมาถึงตัวเรา แล้วเราระลึกถึงพระรัตนตรัยขึ้นมาเองในใจโดยอัตโนมัติได้หรือเปล่า? หรือว่านึกถึงวัตถุมงคล ของขลัง หรือพระที่ห้อยคออยู่ ถ้าเรานึกถึงพระรัตนตรัยด้วยความรู้ความเข้าใจอยู่เป็นประจำแล้ว การระลึกนี้แหละจะเป็นที่พึ่งอันดีแก่เรา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ใดระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้นั้นจักกำจัดภัยได้จริง จักพ้นจากทุกข์ได้จริง”
การระลึกนี้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่มาก พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพึ่ง เมื่อเราระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่บ่อยๆ เราก็มีที่พึ่งอันดี เมื่อเรามีที่พึ่งอันดีแล้วก็ให้ระลึกใช้อำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ นั้น เพื่อแก้ไขเหตุร้ายต่างๆ เช่น
เมื่อถูกเหล่าผีปีศาจก่อกวน ให้อธิษฐานว่า “ขออำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ทั้งหมด ให้เหล่าผีปีศาจที่ก่อกวนข้าฯ” ให้คิดหลายๆ เที่ยวจนรู้สึกว่าดีขึ้น เพียงเท่านี้ก็แก้ไขได้แล้วโดยไม่ต้องทำพิธีขจัดปัดเป่าอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยด้วยความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องดีแล้ว เราต้องระวังไม่ให้จิตใจของเราไปเกาะอยู่กับที่พึ่งอย่างอื่น ที่นอกเหนือจากพระรัตนตรัย ลักษณะของผู้มีพระรัตนตรัยที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ คือ :-
๑. ไม่มีวัตถุมงคลไว้ครอบครอง
๒. ไม่เรียนเวทมนต์ คาถาใดๆ ทั้งสิ้น
๓. ไม่กราบไหว้ศาลพระภูมิ ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่
๔. ไม่กระทำการเข้าทรง
๕. ไม่ทำการบวงสรวงเซ่นไหว้
๖. เรียนคำสอนของพระรัตนตรัย
๗. เคารพพระรัตนตรัยสูงสุดในชีวิต
แก้ไขอำนาจไสยศาสตร์ (คุณไสยฯ)
ไสยศาสตร์มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ผู้ใช้อำนาจไสยศาสตร์มักจะใช้ไปในทางที่ผิด โดยไม่ได้คิดคำนึงว่าจะมีผลเป็นโทษสำหรับตนหรือไม่ ถือดีว่ามีวิชาอาคมแล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้ เย่อหยิ่งในวิชาของตน พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนประเภทนี้หลังจากละชีวิตจากโลกนี้ไปมักจะ “ตกนรก” หรือถ้าไม่ตกนรกก็จะเป็น ผี ปีศาจ เปรต ปอบ ที่ติดวนอยู่ในอำนาจของเวทมนต์ หาความสบายไม่ได้
คนส่วนมากจะโดนอำนาจไสยศาสตร์ก่อกวนโดยไม่รู้สึกตัว หรือถ้ารู้สึกตัวก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร? อย่างดีก็ไปรดน้ำมนต์อาจจะสบายขึ้นมาบ้าง แต่ก็กลับมาเป็นอีก จากนั้นก็หาของดีมาป้องกันอีก แต่ก็ไร้ผล วิธีทางพุทธศาสนาสอนให้พึ่งพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดถูกอำนาจไสยศาสตร์ก่อกวนให้อธิษฐานดังนี้ “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลให้อำนาจชั่วร้ายอำนาจชั้นต่ำ ที่อยู่ในตัวข้าฯ ให้มลายไป” หรือ “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลให้อำนาจไสยศาสตร์ที่อยู่ตัวข้าฯ ให้มลายไป” (๑๐๐ - ๑,๐๐๐ เที่ยว ทุกวัน ทุกเวลา ไม่ต้องจุดธูป-เทียน)
ถ้าในขณะที่มลายมนต์อยู่ แล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ขอให้รู้ว่า “ของ” ที่อยู่ในตัวจะออกมา ก็ให้อาเจียนออกมา แล้วอุทิศบุญให้ผีที่ออกมาด้วย หรือถ้าใครปวดมึนที่ศีรษะก็ไม่ต้องตกใจ! ให้คิดมลายมนต์ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น เมื่ออาการดีขึ้นแล้วขอให้รู้ว่า ผีที่ถูกส่งมาก่อกวนได้ออกจากตัวเราแล้ว จากนั้นให้อุทิศบุญให้ผี ว่าดังนี้ “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ทั้งหมด ให้ผีที่ออกจากร่างกายข้าฯ” หลายๆ เที่ยวเพื่อป้องกันไม่ให้ผีกลับมาก่อกวนเราอีก
แก้ไขผีสิง
มนุษย์บางคนในโลกนี้ถูกผีปีศาจเข้าก่อกวนภายในร่างกาย เรียกว่า “ผีสิง” ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือถึงกับเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน โรคจิต โรคประสาท ฯลฯ ต้องกินยาควบคุมไว้ อาการเหล่านี้เกิดจากการก่อกวนของ “อมนุษย์” ที่เป็นคู่เวรกันมาเข้าสิง และได้ทำการแก้ไขไม่ถูกต้อง จึงรักษาไม่หาย ใครที่เจอเหตุการณ์อย่างนี้ควรแก้ไขด้วยการอุทิศบุญ ให้ว่าดังนี้ “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ทั้งหมดให้ผีที่สิงอยู่ในตัวข้าฯ (๑๐๐-๑,๐๐๐ เที่ยว ไม่ต้องจุดธูป-เทียน) พร้อมทั้ง ขอขมาอมนุษย์ที่เป็น “นายเวร” นั้นด้วย
พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก อันเห็นได้จากเมื่อหมู่สงฆ์ที่กำลังสวดปาฏิโมกข์ (ประกาศพระวินัย) อยู่ หากภิกษุถูกผีสิง ต้องหยุดสวดทันที เพื่อมาแก้ไขภิกษุที่ถูกผีสิงนั้นให้หายเป็นปรกติ
การถูกผีสิงนั้นมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผีที่มาจากวัตถุมงคล ผีที่มาจากอำนาจไสยศาสตร์ ผีที่เคยเป็นนายเวรกัน ผีที่เคยเป็นพ่อ, แม่, พี่น้องกันมาก่อน ผีที่ต้องการขัดขวางการทำความดี ผีเจ้าที่ ผีที่มาขอส่วนบุญ ผีที่สถิตบ้านเรือน หรือแม้แต่สิงเพื่อหวังดีก็มี โรคที่เกิดจาก “อมนุษย์สิง” นี้ควรแก้ไขด้วยการอุทิศบุญให้มากๆ ถ้าอาการหนัก ควรปฏิบัติตามวิธีแก้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ หน้า ๑๓๔ (ชุด ๙๑ เล่ม สำนักพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย)
แก้ไขสัญญาณชั่วร้าย
ผีบางตัวไม่ได้ทำการสิง แต่จะส่งสัญญาณก่อกวน ด้วยการร่ายมนต์ควบคุมคนไว้ให้อยู่ในอำนาจ หรืออาจจะส่งผีบริวารเข้าสิงแทน แล้วร่ายมนต์ควบคุมบังคับอีกที วิธีแก้ไขให้คิดมลายสัญญาณที่ก่อกวนนั้นว่า “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลสัญญาณชั่วร้าย ที่ก่อกวนข้าฯ ให้มลายไป” (๑,๐๐๐ เที่ยว ไม่ต้องจุดธูป - เทียน)
แก้ไขคำสาปแช่ง
ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลให้คำสาปแช่ง ที่ตกมาถึงตัวข้าฯ จงมลายไป (๑๐๐ - ๑,๐๐๐ เที่ยว ไม่ต้องจุดธูป - เทียน)
แก้ไขมนต์ของผีที่สิงอยู่
ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลมนต์ของผีที่สิงอยู่ในตัวข้าฯ ให้มลายไป (๑๐๐ - ๑,๐๐๐ เที่ยว ไม่ต้องจุดธูป - เทียน)
แก้ไขนายเวร
ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าฯ ทั้งหมด ให้นายเวรทั้งหมดของข้าฯ (ต้องทำการขอขมาด้วย)
คำขอขมานายเวร
ขออำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลการขอขมาของข้าพเจ้าให้ถึงแก่ เหล่านายเวรทั้งหมด ของข้าพเจ้า
บัดนี้ ข้าพเจ้าขอสำนึกผิด ในการกระทำส่วนที่ผิด ต่อเหล่านายเวรทั้งหมดของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินและเบียดเบียนไว้ ขอเหล่านายเวรทั้งหมดของข้าพเจ้า จงอดโทษ จงอภัยแก่ข้าพเจ้า ผู้ไม่รู้ด้วยเถิด.
(คิดกล่าว ๑๐ - ๑๐๐ เที่ยวขึ้นไป)
“จงเชื่อมั่นในอำนาจพระรัตนตรัยให้มั่นคง
แล้วสิ่งร้ายๆ ทั้งหลายจักห่างไป
สิ่งดีๆ จักเข้ามาในชีวิต”
ผีสิงพระ
ครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ถูกมาร (ผี, อมนุษย์) ผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้ ได้มีความดำริว่า “ท้องเราเป็นดั่งว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ?” จึงลงจากจงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้. ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจ(สำรวจหา) ถึงมารลามก ด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.
พระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้แล้ว ครั้นแล้วจึงเรียกว่า “มารผู้ลามก! ท่านจงออกมาๆ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเจ้าและสาวกของพระตถาคตเจ้าเลย การเบียดเบียนนั้นอย่าได้มีเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน” (จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ หน้า ๔๖๕)
อมนุษย์ทำร้ายพระ
สมัยนั้น ยักษ์สองสหายออกจากทิศอุดรไปยังทิศทักษิณด้วยกิจบางอย่าง ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมีผมอันปลงแล้วใหม่ๆ นั่งอยู่กลางแจ้งในคืนเดือนหงาย ยักษ์ตนหนึ่งได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า “ดูก่อนสหาย เราจะประหาร (ทุบตี) ที่ศีรษะแห่งสมณะนี้” เมื่อยักษ์นั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ยักษ์ผู้เป็นสหายได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า “ดูก่อนสหาย อย่าเลย! ท่านอย่าประหารสมณะเลย ดูก่อนสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก”
แม้ครั้งที่ ๒...
แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์นั้นก็ได้กล่าวกะยักษ์ผู้เป็นสหายว่า “ดูก่อนสหาย เราจะประหาร (ทุบตี) ที่ศีรษะแห่งสมณะนี้” แม้ครั้งที่ ๓ ยักษ์ผู้เป็นสหายก็ได้กล่าวกะยักษ์นั้นว่า “ดูก่อนสหาย อย่าเลย! ท่านอย่าประหาร
สมณะเลย ดูก่อนสหาย สมณะนั้นมีคุณยิ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก”
ลำดับนั้น ยักษ์นั้นไม่เชื่อยักษ์ผู้เป็นสหาย ได้ลงมือประหาร (ทุบตี) ศีรษะของสารีบุตรเถระ ยักษ์นั้นพึงยังพญาช้างสูงตั้ง ๗ ศอก หรือ ๘ ศอกให้จมลงไปก็ได้ หรือพึงทำลายยอดภูเขาใหญ่ก็ได้ด้วยการประหารนั้น ขณะนั้น ยักษ์นั้นกล่าวว่า “เราย่อมเร่าร้อน” แล้วได้ตกลงไปสู่นรกใหญ่ในที่นั้นเอง.
มหาโมคคัลลานะได้เห็นยักษ์นั้นประหารที่ศีรษะพระสารีบุตร ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ แล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร ครั้นแล้วได้ถามพระสารีบุตรว่า “ดูก่อนอาวุโส ท่านพึงอดทนได้หรือ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกข์อะไรๆ ไม่มีหรือ?”
พระสารีบุตรตอบว่า “ดูก่อนอาวุโสโมคคัลลานะ ผมพึงอดทนได้ พึงยังอัตภาพให้เป็นไปได้ แต่บนศีรษะของผมมีทุกข์หน่อยหนึ่ง (เจ็บที่ศีรษะเพราะถูกยักษ์ตี). (จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๔ หน้า ๔๒๕)
สิ่งศักสิทธิ์ในบ้าน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใด บุตรบูชามารดาและบิดาอยู่ในเรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามี “พรหม” มี “บุรพเทวดา”มี “บุรพาจารย์”มี “อาหุ-ไนยบุคคล”
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า “พรหม” เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่า “บุรพเทวดา” เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่า “บุรพาจารย์” เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าอาหุไนยบุคคล (บุคคลผู้ควรแก่การทำบุญ) เป็นชื่อของมารดาและบิดา. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะมารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร.
มารดาและบิดา เราตถาคตกล่าวว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงนอบน้อม และพึงสักการะมารดาและบิดาทั้งสองนั้น ด้วยข้าว น้ำ ที่นอนผ้า การขัดสี การให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว
เพราะการปฏิบัติในมารดาและบิดา บุคคลนั้นละ (ตาย) ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์.
(จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๔ หน้า ๖๖๘)
Ω

ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์
จงบันดาลให้ท่านผู้อ่าน
จงมีความสุข ความเจริญในอำนาจพระรัตนตรัยเถิด

Ω
ธีระบุตร
สมาชิกทั่วไป
 
โพสต์: 26
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 19 มี.ค. 2010 11:29 pm

ย้อนกลับไปยัง หนังสือธรรมะ

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน

cron